แนะนำหนัง Inside Out 2 เรื่องราวใหม่ ใจฟู ได้ทุกวัย

25 สัปดาห์ ที่แล้ว - คนดู 40
รูปภาพ แนะนำหนัง Inside Out 2 เรื่องราวใหม่ ใจฟู ได้ทุกวัย

Inside-Out-2

9 อารมณ์ เรื่องราวใหม่ ใจฟู ได้ทุกวัย

ดูหนังออนไลน์ ในหนังภาคนี้ การเล่าเรื่องยังคงเฉียบคมเหมือนเดิม โดยเนื้อหาครั้งนี้เกิดขึ้นภายใน 3 วันของค่ายฮอกกี้ ที่อยู่ดี ๆ ก็มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นเมื่อไรลีย์รู้ว่าเพื่อนรักของเธอสองคนกำลังจะย้ายโรงเรียน ในขณะเดียวกัน ไรลีย์เองก็พยายามเรียกร้องความยอมรับจากรุ่นพี่นักฮอกกี้สาวสุดเท่ เพื่อหาที่อยู่ให้ตัวเอง บทภาพยนตร์ฉลาดมากที่เพิ่มตัวละครใหม่แค่ 4 ตัวหลักกับอีก 1 ตัวละครรับเชิญ ทำให้ผู้ชมไม่ต้องปวดหัวกับการจดจำตัวละครเยอะเกินไป และยังสื่อสารการเปลี่ยนแปลงในตัวไรลีย์ได้ชัดเจน ความกล้าในการนำเสนอความซับซ้อนในจิตใจของไรลีย์ ทำให้ตัวละครอารมณ์ดั้งเดิมอย่างลั้ลลา (หรือความสุข), เศร้าซึม, ขยะแขยง และโกรธเกรี้ยว มีการเติบโตไปตามการเปลี่ยนแปลงของเธอ โดยเฉพาะบทสรุปที่แสดงให้เห็นถึงความจริงในการเติบโตของมนุษย์แบบไม่ยัดเยียด นอกจากจะได้เอมี โพเลอร์ กลับมานำทีมพากย์ชุดเดิมแล้ว ตัวละครใหม่อย่าง ว้าวุ่น ยังได้ มายา ฮอว์ค มาให้เสียงพากย์ได้อย่างมีชีวิตชีวาและสื่อถึงคาแรกเตอร์ได้อย่างดีเยี่ยม

ผ่านมา 9 ปีแล้วตั้งแต่ ‘Inside Out’ แอนิเมชันที่แฟนหนังทั่วโลกยังคงรักและคิดถึง นอกจากจะครองใจคนดู มันยังเป็นกรณีศึกษาทางจิตวิทยาที่เข้าใจง่าย ได้รับผลตอบรับดีระดับที่สามารถเรียกว่า “แอนิเมชันพิกซาร์ในดวงใจ” ได้ไม่เกินไปเลย และในปี 2024 นี้ ‘Inside Out 2’ ได้กลับมาพร้อมกับตัวละครเดิมและเพิ่มตัวละครใหม่ แน่นอนว่านอกจากความสนุกที่ทุกคนรอคอย ความลึกซึ้งของเนื้อเรื่องก็ยังเป็นที่คาดหวังสูง เหมือนยอดเขาเอเวอร์เรสต์ เพราะภาคแรกตั้งบาร์ไว้สูงมาก จนยากที่จะมีใครกล้าเลียนแบบ

Inside-out-2-02

ดังนั้น อารมณ์ใหม่ๆ ที่นำโดยว้าวุ่น (Anxiety) จึงมีบทบาทสำคัญในช่วงวัยรุ่นของไรลีย์ แต่ถ้าคิดว่าบทหนังแค่เอาสิ่งที่ภาคแรกสร้างไว้ เช่น โลกภายในจิตใจของไรลีย์ที่มีทั้งเกาะบุคลิกภาพ ลูกแก้วความทรงจำ หรือแม้กระทั่งธารกระแสสำนึก มาเล่นต่อโดยไม่มีอะไรใหม่ คุณคิดผิดแล้ว บทภาพยนตร์ฉลาดมากที่เลือกเพิ่มตัวละครอารมณ์ใหม่แค่ 4 ตัวหลักกับอีก 1 ตัวละครรับเชิญ ทำให้ผู้ชมไม่ต้องปวดหัวกับการจดจำตัวละครเยอะเกินไป และยังสื่อสารถึงการเปลี่ยนแปลงในตัวไรลีย์ผ่านสถานการณ์ต่างๆ เช่น อารมณ์อายที่ตัวเองชอบบอยแบนด์จนต้องเสียดสีเพื่อนเพื่อให้ดูเจ๋งและได้รับการยอมรับจากเพื่อนใหม่ โดยมีอารมณ์ว้าวุ่นหรือวิตกกังวลและอารมณ์อิจฉาคอยบงการการกระทำและการตัดสินใจของไรลีย์

สิ่งที่พิสูจน์ว่า ‘Inside Out 2’ ไม่ได้แค่เดินตามรอยความสำเร็จของภาคแรก คงต้องยกให้กับความกล้าที่จะนำเสนอความซับซ้อนในจิตใจของไรลีย์ ที่ทำให้เหล่าอารมณ์ดั้งเดิมอย่างลั้ลลา (ความสุข), เศร้าซึม, ขยะแขยง และโกรธเกรี้ยว มีการเติบโตไปตามการเปลี่ยนแปลงของไรลีย์ โดยเฉพาะบทสรุปของหนังที่แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของมนุษย์ในแบบที่นุ่มนวลและไม่ยัดเยียด และขอบอกไว้เลยว่า มันยังสัมพันธ์กับข้อความในเอนด์เครดิต ที่ผู้สร้างแอบหยอดไว้ให้ผู้ชม โดยเฉพาะพ่อแม่ ได้ใจฟูอีกด้วย

อย่างที่บอกไปในย่อหน้าแรกว่า ‘Inside Out 2’ มีความคาดหวังสูงลิ่วขนาดไหน ยังไม่พอเพราะในภาคนี้ พีท ด็อกเตอร์ ผู้กำกับหนังภาคแรก เปลี่ยนบทบาทไปนั่งแท่นโปรดิวเซอร์ และให้ เคลซีย์ แมนน์ ที่เคยเขียนบท ‘Monster at Work’ อนิเมชันซีรีส์ของพิกซาร์ มาประเดิมงานกำกับและร่วมเขียนบท ผลลัพธ์คือ แมนน์สามารถสานต่อความประทับใจจากหนังภาคแรกได้แบบไร้ข้อกังขา นอกจากนี้ยังพิสูจน์ว่าพิกซาร์ให้ความสำคัญกับบทภาพยนตร์จริงๆ นอกจากความสนุกแล้ว ความลึกซึ้งด้านจิตวิทยาที่ถูกนำเสนอในหนังยังเป็นหลักฐานชั้นดีถึงการทำงานหนักของแมนน์และทีมงาน จนทำให้บทสรุปของมันไร้ข้อกังขาและสร้างความประทับใจให้ผู้ชมได้เป็นอย่างดี

Inside-out-2-03

อีกองค์ประกอบสำคัญที่ไม่แพ้บทภาพยนตร์ก็คือเสียงพากย์ของเหล่าตัวละคร สำหรับเวอร์ชันภาษาอังกฤษต้นฉบับ นอกจากจะได้ เอมี โพเลอร์ กลับมานำทีมพากย์ชุดเดิมแล้ว ตัวละครใหม่อย่างว้าวุ่น ยังได้ มายา ฮอว์ค ลูกสาวของ อีธาน ฮอว์ค และ อูมา เธอร์แมน มาให้เสียงพากย์ได้อย่างมีชีวิตชีวาและสื่อถึงคาแรกเตอร์ได้ดีเยี่ยม นอกจากนี้ยังได้ อาโย เอดีบีรี ที่เคยให้เสียงพากย์ เอพริล โอ นีล ใน ‘Teenage Mutant Ninja Turtles: Mutant Mayhem’ มาพากย์เสียงอิจฉา ที่แอบขโมยซีนอยู่ทั้งเรื่อง ส่วนตัวละครเฉยชิลล์ ก็ได้ แอดเดล เอ็กเซอโชโพลอส มาโปรยเสน่ห์ด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงฝรั่งเศสที่ฟังแล้วน่ารักสุด ๆ

โดยสรุปแล้ว ‘Inside Out 2’ ยังคงมาตรฐานทั้งในด้านบทภาพยนตร์และการพากย์เสียง ส่วนงานภาพก็ไม่มีอะไรน่าห่วงเพราะคุณภาพระดับพิกซาร์เชื่อถือได้อยู่แล้ว ที่อาจจะมีเรื่องให้พูดถึงหน่อยก็คืองานสกอร์ของ แอนเดรีย แดตซ์แมน ที่ไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่เมื่อเทียบกับผลงานของ ไมเคิล จีแอ็คชีโน ที่ทำเพลงธีมให้ภาคแรกไว้อย่างโดดเด่น อาจจะดูเป็นมวยรองไปนิด อีกอย่างหนังยังไปรีไซเคิลสกอร์เก่าของจีแอ็คชีโนมาใช้ เพราะมันกลายเป็นเสียงที่ผู้ชมคุ้นเคยและหลงรักมาตลอด 9 ปีนั่นเอง