[มือสอง] ล็อกเก็ตหลวงปู่สรวงรุ่นแรกสร้าง99อันวัดบ้านสน จ.สุรินทร์ปี39

561 สัปดาห์ ที่แล้ว - กรุงเทพมหานคร - คนดู 1,108

2,000 ฿

  • ล็อกเก็ตหลวงปู่สรวงรุ่นแรกสร้าง99อันวัดบ้านสน จ.สุรินทร์ปี39 รูปที่ 1
  • ล็อกเก็ตหลวงปู่สรวงรุ่นแรกสร้าง99อันวัดบ้านสน จ.สุรินทร์ปี39 รูปที่ 3
รายละเอียด

ล็อกเก็ตหลวงปู่สรวงรุ่นแรกสร้าง99อันวัดบ้านสนสุรินทร์ปี39หลวงปู่อาจสร้างหลวงปู่สรวงเสกให้ขลัง
ครั้งแรกที่หลวงพ่อสร้อย พบ หลวงปู่สรวง
ตอนนั้นหลวงพ่อสร้อยอายุยังน้อยๆ เป็นเด็กๆ ไปกับอาจารย์ของท่าน (ตอนนั้นอาจารย์ของท่านอายุ 90 กว่าปี) อาจารย์ของท่านไปกราบหลวงปู่สรวง
ตอนขากลับหลวงพ่อสร้อยก็ถามอาจารย์ว่า ทำไมอาจารย์ไปกราบหลวงปู่สรวง อาจารย์อายุมากขนาดนี้
อาจารย์ท่านตอบกลับว่า ไม่ใช่ จริงๆ แล้ว หลวงปู่ท่านอายุมากกว่าอาจารย์ไม่รู้กี่เท่า

ด้านหลังล็อกเก็ต บรรจุ เม็ดพระธาตุ เกศาหลวงปู่ (อันนี้นะถ้าหลวงปู่ไม่ให้ ขอยังไงก็ไม่ได้ ไม่ใช่จะได้กันง่ายๆ) จีวรหลวงปู่ เกศาหลวงปู่ เม็ดทรายเสกหลวงปู่
สนใจติดต่อ  ธนวัฒน์ โทร0870977567 โทร0856892342 โทร 0877029896
ให้เช่าหาบูชาองค์ละในราคา 2000 บาท 
ค่าส่งอีกองค์ละ 50 บาทส่งด่วนทางไปรษณีแพ็คกล่องอย่างดีกันกระแทกครับท่าน
ของแท้ราคาเบาๆ ทำเพื่อเผยแผ่คุณงามความดีของหลวงปู่ในราคาแบ่งกันใช้ครับ เงินที่ได้มาส่วนหนึ่งก็จะนำไปทำบุญให้ทาน ตามที่หลวงปู่บอกมา รับส่วนบุญกันทุกคนครับ สวัสดี
   ขอเล่าประสพการณ์จากลุงบุญเลิศผ่านเว็บพี่อำพลต่อนะครับ ขอให้พี่และลุงจงมีความสุขครับ
เรื่องหักคอปลาช่อน
อีกหนึ่งเรื่องที่จะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ หลังจากอ่านจบแล้ว ผมก็จะขอถามทุกท่านอีกนั่นแหละ ว่าท่านเชื่อมั๊ยว่า เรื่องที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง
มีอยู่ ครั้งหนึ่งหลวงปู่สรวงท่านออกธุดงค์ไปทาง อ.อำนาจเจริญ จำไม่ได้แล้วล่ะว่าหมู่บ้านที่ท่านธุดงค์ผ่านไปชื่อหมู่บ้านอะไร รู้แต่ว่าไปถึงก็จวนค่ำแล้วโพล้เพล้เต็มที ก็เริ่มมองหาที่สำหรับปักกลดเพื่อพักผ่อนในค่ำคืนที่จะมาถึง
ตามปกติ นิสัยของหลวงปู่ท่านจะไม่จำวัดในหมู่บ้านหรือแม้แต่ในวัดเองก็เถอะ หากอยู่ในที่ชุมชนมีคนพลุกพล่านแล้วล่ะก็เป็นอันเลิกกัน ท่านไม่ยอมอยู่แน่ๆ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ท่านพาเดินเลาะเลียบเข้าไปในป่าตามชายหมู่บ้านไม่ยอมเดินเข้าไปในหมู่บ้าน และไปหยุดพักในป่าที่ห่างจากหมู่บ้านพอสมควร
ด้วยความที่เดินทางกัน มาทั้งวันก็เลยหิว วันนั้นทั้งวันมีแต่น้ำเปล่าที่ตกถึงท้องไม่มีอาหารอย่างอื่น อาการหิวก็เลยเก็บไว้ไม่มิดปิดไว้ไม่อยู่ หน้ามืดจะเป็นลมเสียให้ได้
หลวงปู่ท่านก็คงรู้และดูออกว่าเราหิว แต่ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่แม้แต่จะบอกให้เราเข้าไปหาอาหารในหมู่บ้านมากินให้หายหิว
เมื่อหลวงปู่ไม่บอกไม่พูด หิวอย่างไรก็ต้องทนต้องอดนั่งอยู่กับท่านทั้งอย่างนั้น
หลัง จากเลือกสถานที่สำหรับจะพักปักกลดได้แล้ว หลวงปู่ก็เดินหายลับเข้าไปในป่าอย่างเงียบๆ ปล่อยให้เรานั่งรออยู่อย่างนั้นโดยท่านไม่ได้บอกหรือสั่งอะไร นอกจากบอกให้ก่อไฟไว้ไล่ยุงเท่านั้น
สักพักท่านก็เดินกลับมา ไม่ได้มาตัวเปล่า ในมือของหลวงปู่สรวงมีปลาช่อนตัวเขื่องขนาดประมาณเท่าๆกับแขนของผู้ใหญ่ กำติดมือดิ้นกะแด่วๆมาด้วยตัวหนึ่ง
เมื่อเดินมาถึงกองไฟที่ก่อเอาไว้หลวงปู่ท่านไม่พุดพล่ามทำเพลงให้เยิ่นเย้อเสียเวลา
ท่าน จัดการหักคอปลาช่อนเคราะห์ร้ายตัวนั้นดังเป๊าะ แล้วโยนปลาช่อนดวงซวยตัวนั้นเข้ากองไฟอย่างหน้าตาเฉย ทำเหมือนอย่างกับว่า การหักคอปลาเป็นเรื่องธรรมดาๆซะอย่างนั้นแหละ
เมื่อเผาจนปลาสุกดี แล้ว หลวงปู่ก็จัดแจงแบ่งปลาช่อนออกเป็นสองส่วน ต่างคนต่างกิน อิ่มแล้วก็เตรียมตัวเข้านอน ก่อนนอนยังนึกฉงนในใจไม่หาย
หลวงปู่ทำไมถึงทำอย่างนั้นวะ เป็นพระบวชถือศีล ออกธุดงค์หาความสงบ ความหลุดพ้นแท้ๆ แต่ไหงดันไปจับปลามาหักคอเผากินหน้าตาเฉยเลย
มิหนำซ้ำตัวท่านเองก็กินปลาช่อนเผาตัวนั้นเป็นอาหารเย็นอีกต่างหาก
มันยังไงกันแน่หว่า...!!!
.......................................................
ถามอีกทีท่านเชื่อมั๊ยว่านี่เป็นเรื่องจริง
ท่านเชื่อจริงๆ มั้ยว่ามีพระแบบนี้อยู่ร่วมยุคสมัยกับเรา
พ่อลุงบุญเลิศเล่าว่าเรื่องนี้เกิดหลังจากเริ่มติดตามหลวงตาสรวงช่วงแรกๆ
ท่านพาเดินป่าขึ้นไปพักอยู่บนเขาในเขตอำเภอกันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
มีลูกศิษย์ไม่เต็มบาทไปด้วยอีกคนหนึ่ง
ราวๆบ่ายของวันหนึ่ง หลวงตาบอกพ่อลุงบุญเลิศให้ก่อไฟเตรียมไว้ ตัวท่านจะไปหาปลามาให้กิน
ท่านหายไปสักพักก็กลับมาพร้อมปลาช่อนตัวขนาดหน้าแข้ง
ยังดิ้นกระแด่วไม่ทันตาย
พอมาถึงท่านหักคอปลาดังกร๊อบ
พ่อลุงบุญเลิศเล่าว่าถึงกับร้องครางในใจอยู่คนเดียว เอ๊า..เป็นไงเป็นกัน ก็มันหิวเต็มที
หลวงตาลงมือเผาปลาด้วยตัวเอง เอาไม้คอยเขี่ยคอยพลิก กลิ่นปลาเผาหอมจนน้ำลายแตกเต็มปาก
พอปลาสุกท่านก็แบ่งปลาออกเป็น3ส่วน
ส่วนหางให้คนไม่เต็มบาท
ส่วนกลางให้พ่อลุงบุญเลิศ
ส่วนหัวท่านฉันเอง
พ่อ ลุงบุญเลิศเล่าว่า ปลาอร่อยมาก ทั้งสดทั้งเหนียวพอดีกิน เสียแต่ว่ากินลำบากอยู่บ้าง ต้องค่อยๆลอกหนังปลาออก ไม่ให้ขี้เถ้าเปื้อนเนื้อปลา
ลอกหนังแล้วก็กองไว้ที่ก้อนหินข้างๆตัว
ก้างปลาก็กองรวมไว้ด้วยกัน
หลังจากอิ่มดีแล้ว หลวงตาเรียกให้รีบลุกขึ้นตามท่านลงไปทำน้ำมนต์็ให้ชาวบ้านที่หมู้บ้านตีนเขา
พอลงเขามาเห็นชาวบ้านเตรียมครุน้ำถังน้ำนั่งรอกันสลอน อย่างกับว่านัดกันไว้
หลวงตา็ก็แค่นิ้วมือจุ่มลงไปแกว่งในน้ำให้ทีละราย เดี๋ยวเดียวก็เสร็จ
ชาวบ้านถวายเงินคนละ10บาท,20บาท ท่านไม่รับ ส่งเงินคืนให้ชาวบ้านหมด
"เขาไม่รู้ทำไง ก็เลยไปตักข้าวสารมาให้ บอกว่าเอาขึ้นไปหุงกินบนเขา"
เมื่อกลับขึ้นมาถึงที่พักบนเขา จวนมืดแล้ว พ่อลุงบุญเลิศจึงเตรียมหุงข้าวกินมื้อเย็น
"เห็น แปลก..หนังปลากับก้างปลาที่เราลอกแกะทิ้งไว้บนก้อนหิน กลายเป็นเปลือกมันสำปะหลัง เท่านั้นแหละจึงร้องเอะอะใส่ท่าน โอ๊ยยๆ..หลวงตาตั๋วข้าน้อย หลวงตาตั๋วแล้ว"
(ตั๋ว-โกหก,หลอกลวง,)
หลวงตาก็แค่หัวเราะอยู่หยุมๆ
"เรา เลยไปสำรวจดู เดินตามรอยเท้าที่ท่านหายไปหาปลา ก็ไปเห็นรอยขุดหัวมันสำปะหลัง เราไม่ได้เฉลียวใจเลยว่า แถวนั้นมันมีน้ำมีห้วยมีธารที่ไหน หลวงตาจะไปเอาปลามาได้ไง"